เลือดในกายเย็นเฉียบจักรยานล้อโต

เสียงหัวเราะแหบแห้งสาแก่ใจ “ไม่มีใครห้ามฉันได้หรอก ฉันจะฆ่ามัน นัง กาซะลอง’ ได้ยินเสียงวัตถุหนักๆ กระทบกับปากอุโมงค์ กาซะลองหวีดลั่น “อย่า! อย่าทำอะไรฉัน ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ ปล่อย” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังก้อง “ฉันปล่อยแกไปแน่…นังปีบ ปล่อยแก ไปอยู่นรกกับแม่แก…ยายแก” เสียงวัตถุหนักๆ ดังกระทบบริเวณปากอุโมงค์ จักรยานล้อโต หญิงสาวหวีดร้องออกมาลั่น แม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะหลุดรอดออกไปแทบไม่มี “อย่า…ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้ปล่อย” เสียงเครือสะอื้น ความกลัวอย่างสุดขีดแล่นเข้ามาจับหัวใจ…นี่หล่อนต้องตายโนนี้จริงๆ หรือ พลัน ได้ยินเสียงตวาดก้อง “หยุด….แกจะทำอะไรหลานฉันไม่ได้!” จักรยาน fat bike แม้จะไม่ค่อยชัดเจนเพราะอยู่ภายใต้อุโมงค์ลึก แต่เนี้อเสียงและความ เฉียบขาดของคำพูดกาชะลองจดจำได้ดี “คุณยาย!” แต่เสียงของ ‘ใคร’ ที่อยู่เบื้องบนกลับแหบพร่าลันสะท้านด้วยความหวาด หวั่น…

Published

มีเพียงคำถามจากผู้เป็นทนายแม่แรงไฟฟ้า

เมื่อป้าคำสร้อยเดินตัวลีบเข้ามา “เข้ามาทำไมคำสร้อย” ^. “นี่ก็เป็นความประสงค์ของคุณปรียางค์ศรีครับ ท่านอนุญาตให้คนในบ้าน เข้ามาฟังการเปิดพินัยกรรมได้ทุกคน” ทนายดำรงตอบแทน คนเก่าแก่งกๆ เงินๆ อย่างป้าคำสร้อยจะไบ่สู้รบ ตบมีอกับคุณพันธุรพีได้อย่างไรไหว แค่เจอสายตาเหยียดหยามของ^ายนั้นก็ ไม่รู้จะซุกตัวนั่งที่ไหน ■ถ้าทุกคนมาพร้อมแล้ว ผมว่าเปิดพินัยกรรมเลยดีมั้ยครับคุณอา” ไม่มีใครคัดค้านร้อยตำรวจเอกศกร แม่แรงไฟฟ้า “หลานสาวสุดที่รักของฉันมันก็ยังหนีคดีอยู่น่ะสิคะคุณทนาย และถึงจะ อยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อสุดท้ายยัยปีบก็ต้องถูกตัดออกจากกอง มรดกอยู่ดี” ไม่มีใครโต้เถียงจนศกรใจหาย ราวกับ1นสายตาผู้อี,นกาซะลองคือคนผิด อย่างแท้จริง สบตานายตำรวจที่ร่วมเข้าฟังการเปิดพินัยกรรมด้วย แต่ละคน ต่างส่งสายตาให้กำลังใจจนค่อยยังชั่ว อย่างน้อยโนความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ยังมีความยุติธรรม ทนายดำรงกวาดสายตามองโดยรอบ เมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความสงบก็เปิด ซองพินัยกรรม สายตาทุกคู่จับอยู่ที่ซองสีนํ้าตาลเข้มที่ภายในบรรจุกระดาษสีขาว อยู่สองสามแผ่น ทนายประจำคุ้มอ่านข้อความบนกระดาษตั้งแต่วันที่ที่คุณ ปรียางค์ศรีได้ทำพินัยกรรม รายละเอียดแห่งทรัพย์สมบัติที่มีความยาวอยู่หลาย หน้ากระดาษ4งบ่งบอกถึงฐานะความมั่งคั่งของเจ้าของคุ้มฎคากาซะลองได้เป็น อย่างดี…

Published

บรรยากาศน่ากลัวจะตายแว่นตา

ทนายดำรงแอบช่อนยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเหล่าบรรดาทายาทคุณปรียางค์ศรี ที่มาร่วมรับฟังก่ารเปิดพินัยกรรม แต่ละคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กฉายทั้งความ หวาดหวั่นและตื่นกลัว ยกเว้นนายแพทย์สฤษด์คุณที่นั่งหมดอาลัยตายอยาก อยู่มุมห้อง สีหน้านายแพทย์ใหญ่ไม่มีความยินดียินร้ายไม่ว่าจะมีใครเคลื่อนไหว เข้ามาในห้อง ผู้เป็นมารดาเสียอีกที่กระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ท้ายสุดเมื่อ อดรนทนไม่ไหวก็แว้ดออกมา “นี่คุณทนาย! เป็นบ้าไปแล้วรึไงถึงได้นัดมาเปิดพินัยกรรมตอนเที่ยงคืน ดูซิ! บรรยากาศน่ากลัวจะตาย” แว่นตากันแดด มองรอบกายอย่างหวาดๆ หน้าต่างทุกบานถูกเปิดโล่งจนเห็นลมพัดผ้าม่าน ขาวพลิ้วไหว แสงจันทร์สีอ่อนทอแสงนวลล้อเล่นกับเงาทะมึนของขุนเขาแมกไม้ เสียงนกแสกร้องแกว๊กๆ ยั่วโสตประสาท นกบ้าอะใร.’ มาบินกันตอนนี้ ไม่รู้จัก กาลเทศะ ทนายดำรงค้อมคืรษะลงนิดๆ ตอบเสียงนุ่ม “เป็นความประสงค์ของคุณปรียางค์ศรีครับ” “คุณพี่!” พึมพำออกมาแล้วนั่งตัวสันอยู่เงียบๆ แต่ก็นั่งอยู่ได้ไม่นาน “…ทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อันได้แก่ ที่ดินหนึ่งร้อยห้าสิบผืนที่อยู่ใน จังหวัดเชียงรายรวมหนึ่งพันห้าร้อยสิบสามไร่ ที่ดินสิบสามผืนในจังหวัดเชียงใหม่ รวมสามร้อยยี่สิบห้าไร่ ที่ดินในจังหวัดน่านห้าผืนรวมเจ็ดสิบแปดไร่ ขอมอบให้ สาธารณกุศลในการจัดตั้งโรงเรียน…

Published